5 วิธีง่ายๆ ประยุกต์ใช้กลยุทธ์ในการตั้งราคาให้มูลค่าของสินค้าดูมากกว่ามูลค่าจริง

ในโลกของธุรกิจ การตั้งราคาสินค้าให้เหมาะสม ถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ การตั้งราคาที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มยอดขาย เพิ่มกำไร หรือสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดี

อย่างไรก็ตาม การตั้งราคาที่ “ถูกต้อง” นั้น ไม่ได้แปลว่าต้องตั้งราคาให้ต่ำที่สุดเสมอไป ในบางกรณี การตั้งราคาสินค้าให้สูงกว่ามูลค่าจริง อาจช่วยดึงดูดลูกค้า และสร้างมูลค่าให้กับสินค้าของคุณได้มากกว่า

1. แบ่งราคาจากก้อนใหญ่ เป็นก้อนเล็ก

การแบ่งราคาจากก้อนใหญ่เป็นก้อนเล็ก หรือที่เรียกว่า “การตั้งราคาเชิงกลยุทธ์” เป็นวิธีการตั้งราคาสินค้าที่แบ่งราคาสินค้าออกเป็นส่วนๆ เล็กๆ วิธีการนำไปใช้งานจริงง่ายๆ เลยก็คือ เมื่อทำโฆษณาหรือ Artwork ต่างๆ ให้เราทำการแสดงราคาเต็มของสินค้า จากนั้นพยายามแบ่งเป็นส่วนของราคาเทียบกับการจ่ายต่อเดือน ต่อสัปดาห์ หรือต่อวัน เพื่อให้ผู้ที่มองเห็นราคารู้สึกว่าสามารถจับต้องได้และมีกำลังใช้จ่ายเพียงพอ เมื่อเทียบกับรายได้ต่อวันนั่นเอง

2. ใช้ราคาทางจิตวิทยา หลีกเลี่ยงการลงท้ายด้วย “0”

เป็นหลักการที่แม่ค้าหลายๆ คนมักใช้กันเป็นประจำ แต่หารู้ไม่ว่าเป็นวิธีที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากขึ้น เพราะกลยุทธ์เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความรู้สึกของลูกค้า และทำให้รู้สึกว่าสินค้าของคุณคุ้มค่า สำหรับตัวอย่างวิธีการตั้งราคา มีดังนี้  

    • ตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9: ลูกค้ามักจดจำตัวเลขหลักหน่วยมากกว่า การตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 199 บาท จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าราคาถูกกว่า 100 บาท
    • ใช้ราคาเศษ: คล้ายกับการตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 การใช้ราคาเศษ เช่น 199.50 บาท จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้ามีคุณภาพดี คุ้มค่า

3. ลองตั้งราคาแบบล่อลวง

นักการตลาดหลากหลายสำนักได้ให้คำแนะนำไว้ว่า หากวันนึงต้องการเพิ่มยอดขายให้กับสินค้าสักชิ้นหนึ่ง “ให้เราลองสร้างตัวเลือกระดับพรีเมียมแบบไม่ได้คาดหวังว่าลูกค้าจะซื้อ” มันอาจจะฟังดูไม่มีเหตุผลเลยใช่ไหมครับ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวครับ กลยุทธ์แบบนี้มีชื่อเรียกว่า การกำหนดราคาแบบล่อลวง (Decoy Pricing) 

ตัวอย่างการตั้งราคาแบบ Decoy Pricing นั้นมักเห็นได้บ่อยในร้านกาแฟ และร้านอาหาร Fast Food ชื่อดังต่างๆ วิธีการตั้งราคามักจะประมาณว่านำเสนอตัวเลือกสินค้า 3 แบบ โดยตั้งราคาสินค้า 2 แบบแรกให้แพง และตั้งราคาสินค้าแบบที่ 3 ให้ถูก โดยลูกค้ามีแนวโน้มจะเลือกซื้อสินค้าแบบที่ 3 แม้ว่าราคาจะไม่ได้ถูกเมื่อเทียบกับราคาสินค้าชนิดเดียวกันในตลาดก็ตาม

4. บังคับให้ซื้อด้วยการจำกัดจำนวน

ในโลกของธุรกิจ การกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้รวดเร็วถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ กลยุทธ์การบังคับซื้อด้วยการจำกัดจำนวนสินค้า เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์นี้อาศัยหลักการทางจิตวิทยามาสร้างความรู้สึกหายาก พิเศษให้กับสินค้า กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อก่อนที่สินค้าจะหมด

ตัวอย่างกลยุทธ์การบังคับซื้อด้วยการจำกัดจำนวนสินค้า

        • ระบุจำนวนสินค้าที่จำกัด: แจ้งให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าว่าสินค้ามีจำนวนจำกัด เช่น “สินค้าเหลือเพียง 10 ชิ้นเท่านั้น!” “สินค้ารุ่นนี้ผลิตจำนวนจำกัด!”
        • กำหนดเวลาจำหน่าย: กำหนดช่วงเวลาขายสินค้าที่จำกัด เช่น “สินค้าราคาพิเศษ เฉพาะวันนี้เท่านั้น!” “โปรโมชั่นนี้มีเวลาจำกัด!”
        • นำเสนอสินค้า Pre-order: เปิดให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า โดยจำกัดจำนวนสินค้าที่สั่งซื้อได้
        • ใช้กลยุทธ์ FOMO (Fear Of Missing Out): กระตุ้นความกลัวว่าจะพลาดโอกาส เช่น “อย่าพลาดโอกาสเป็นเจ้าของสินค้าสุดพิเศษนี้!” “สินค้าหมดแล้วหมดเลย!”
        • สร้างความตื่นเต้น: สร้างบรรยากาศความตื่นเต้นเร้าใจ เช่น “สินค้าวางจำหน่ายแล้ว! รีบมาซื้อก่อนสินค้าหมด!” “สินค้ารุ่นนี้ขายดีมาก! รีบด่วน!”

5. หลีกเลี่ยงคำว่า “ฟรี!” หาวิธีดึงดูดใจลูกค้าแบบใหม่

ในโลกของธุรกิจ คำว่า “ฟรี!” มักถูกใช้เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า กระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อสินค้า อย่างไรก็ตาม การใช้คำว่า “ฟรี” บ่อยๆ อาจส่งผลเสียต่อธุรกิจของคุณ

เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยงคำว่า “ฟรี!”

      • ทำให้มูลค่าสินค้าลดลง: เมื่อลูกค้าเห็นคำว่า “ฟรี” พวกเขามักจะมองว่าสินค้าของคุณไม่มีคุณค่า ไม่คุ้มค่าที่จะจ่ายเงิน
      • สร้างความคาดหวังที่ผิด: การใช้คำว่า “ฟรี” อาจสร้างความคาดหวังที่ผิดให้กับลูกค้า พวกเขาอาจคิดว่าจะได้รับสินค้าหรือบริการเพิ่มเติมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดหวังและความไม่พอใจ
      • ทำให้สูญเสียกำไร: การเสนอสินค้าหรือบริการฟรี หมายความว่าคุณไม่ได้รับรายได้จากสินค้าหรือบริการนั้น ส่งผลต่อกำไรของธุรกิจ
      • ดึงดูดลูกค้าที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย: การใช้คำว่า “ฟรี” อาจดึงดูดลูกค้าที่มองหาสินค้าหรือบริการฟรีเท่านั้น ลูกค้าเหล่านี้อาจไม่มีความภักดีต่อแบรนด์ และไม่น่าจะกลับมาซื้อสินค้าของคุณอีก

วิธีดึงดูดใจลูกค้าแบบใหม่ แทนที่จะใช้คำว่า “ฟรี!” ลองใช้วิธีอื่นๆ ดังนี้

      • เน้นย้ำคุณค่าของสินค้า: อธิบายให้ลูกค้าทราบว่าสินค้าของคุณมีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร ให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขา
      • นำเสนอโปรโมชั่นที่คุ้มค่า: แทนที่จะเสนอสินค้าฟรี ลองนำเสนอโปรโมชั่นที่คุ้มค่า เช่น ส่วนลด ของแถม หรือบริการเสริม
      • สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า: มุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า บริการที่ดี บรรยากาศที่น่าประทับใจ ล้วนดึงดูดใจลูกค้าได้มากกว่าคำว่า “ฟรี”
      • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า สื่อสารกับพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ นำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา

กลยุทธ์การตั้งราคาเหล่านี้ เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง รู้จักคู่แข่ง และทดลองใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อหาสิ่งที่เหมาะกับธุรกิจของเรามากที่สุด และการตั้งราคาสินค้า ไม่ได้เป็นเพียงแค่การคำนวณต้นทุนและกำไร แต่เป็นการสื่อสารกับลูกค้าเกี่ยวกับมูลค่าของสินค้าของเราเอง อย่าลืมลองนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้นะครับ สินค้าของคุณอาจจะมีมูลค่ามากกว่าที่คุณคิด! แต่ถ้าหากอยากได้ตัวช่วยในการขายของออนไลน์คุณภาพดีแล้วล่ะก็ อย่าลืมมาลองใช้งาน ระบบหลังบ้าน iShip กันนะครับ รับรองว่าช่วยให้การขายของออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้นอยากแน่นอนครับ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ Facebook IShip ระบบจัดการรวมขนส่งออนไลน์ ได้ทุกวันตั้งแต่ 08.00 – 22.00 น.

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก

    • https://blog.hubspot.com/marketing/improve-pricing

SHARE