
วันนี้ผมมีเรื่องสำคัญที่อยากจะชวนคุย นั่นก็คือ การวัดผลการตลาดออนไลน์ ครับ หลายคนอาจจะคิดว่า แค่ยอดไลก์ ยอดแชร์ หรือ ยอดขายก็พอแล้วใช่ไหมครับ? แต่จริงๆ แล้ว การวัดผลการตลาดออนไลน์มันมีอะไรที่ “ลึก” กว่านั้นเยอะเลยครับ ยิ่งรู้ลึกเท่าไหร่ เรายิ่งนำผลที่ได้ไปปรับปรุง และพัฒนาธุรกิจของเราให้เติบโตได้จริงมากขึ้นเท่านั้นครับ
มาดูกันว่า เราจะวัดผลการตลาดออนไลน์ยังไงให้รู้ลึก และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงกันบ้างครับ
ทำไมต้องวัดผลการตลาดออนไลน์?
ก่อนอื่นเลย ทำไมเราต้องมานั่งวัดผลให้ยุ่งยากด้วยล่ะครับ? เหตุผลหลักๆ เลยก็ คือ เราจะได้รู้ว่า สิ่งที่เราทำไปนั้นมันได้ผลหรือไม่ คุ้มค่ากับเงินและเวลาที่เสียไป หรือเปล่า? ถ้าไม่วัดผล เราก็เหมือนขับรถไปโดยไม่มีไมล์วัดความเร็ว หรือ ไม่มีเข็มบอกน้ำมันใช่ไหมครับ? เราจะไม่รู้เลยว่าเรากำลังไปทางไหน หรือ จะไปถึงเป้าหมายได้ไหม
การวัดผลจะช่วยให้เรา:
- เห็นภาพรวม ว่าการตลาดของเราไปในทิศทางไหน
- ค้นหาจุดแข็ง และจุดอ่อน เพื่อปรับปรุงแก้ไข
- จัดสรรงบประมาณ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เข้าใจลูกค้า ได้ลึกซึ้งกว่าเดิม
วัดอะไรบ้างถึงจะเรียกว่า “รู้ลึก”?
มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เราควรวัดผล เพื่อให้การตลาดออนไลน์ของเรา “รู้ลึก” จริงๆ ครับ
1. ยอดขาย (Sales)
แน่นอนครับ สิ่งที่สำคัญที่สุด และเป็นเป้าหมายหลักของเราทุกคนก็คือ ยอดขาย ครับ เราต้องรู้ว่าจากกิจกรรมการตลาดที่เราทำไปนั้น มีลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเราไปเท่าไหร่ สร้างรายได้ให้เรามากน้อยแค่ไหน
- สิ่งที่ต้องดู:
- จำนวนออเดอร์: มีลูกค้าสั่งซื้อกี่ออเดอร์
- มูลค่าการซื้อเฉลี่ยต่อออเดอร์ (Average Order Value – AOV): ลูกค้าแต่ละคนซื้อของเฉลี่ยเท่าไหร่
- ยอดขายรวม: รายได้ทั้งหมดที่เราทำได้
- นำไปใช้ประโยชน์: ข้อมูลนี้จะบอกเราว่าแคมเปญการตลาดของเราสร้างรายได้ได้จริงไหม ถ้า AOV ต่ำ อาจจะต้องพิจารณาทำโปรโมชันเพิ่มยอดซื้อ หรือ ขายสินค้าเป็นแพ็กเกจนะครับ
- สิ่งที่ต้องดู:
2. ต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลูกค้า (Customer Acquisition Cost – CAC)
คำนี้อาจจะดูยาก แต่จริงๆ แล้วเข้าใจง่ายมากครับ มันคือ เราใช้เงินไปเท่าไหร่ถึงจะได้ลูกค้ามา 1 คน นั่นเองครับ เช่น ถ้าเรายิงแอดไป 1,000 บาท แล้วได้ลูกค้ามา 10 คน แปลว่า CAC ของเราคือ 100 บาทต่อคนครับ
- สิ่งที่ต้องดู:
- ค่าโฆษณา: เงินที่เราใช้ไปกับค่าโฆษณา
- จำนวนลูกค้าใหม่ที่ได้มา: ลูกค้าที่เพิ่งรู้จักเรา และสั่งซื้อสินค้าครั้งแรก
- นำไปใช้ประโยชน์: CAC ช่วยให้เราประเมินความคุ้มค่าของการลงทุนโฆษณา ถ้า CAC สูงเกินไป อาจจะต้องปรับกลยุทธ์การยิงแอด หรือ ปรับกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนขึ้นครับ
- สิ่งที่ต้องดู:
3. อัตราการเข้าถึง (Reach) และการมองเห็น (Impression)
สองตัวนี้มักจะมาคู่กันครับ
- Reach (การเข้าถึง): คือ จำนวนคนที่เห็นโพสต์ หรือ โฆษณาของเรา ครับ เช่น โพสต์เรา Reach 100 คน แสดงว่ามีคนเห็นโพสต์เรา 100 คนครับ
- Impression (การมองเห็น): คือ จำนวนครั้งที่โพสต์ หรือ โฆษณาของเราถูกแสดง ครับ ถ้าคน 1 คนเห็นโพสต์เรา 2 ครั้ง แปลว่ามี 2 Impression ครับ
- นำไปใช้ประโยชน์: ตัวเลขพวกนี้ช่วยบอกว่าคอนเทนต์ของเราเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้างแค่ไหน ถ้า Reach กับ Impression น้อย ก็แปลว่าโพสต์เรายังไม่ถูกมองเห็นเท่าที่ควร อาจจะต้องปรับเวลาโพสต์ หรือ เพิ่มงบประมาณโฆษณาครับ
4. อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate)
ตัวนี้สำคัญมากครับ! Engagement Rate คือ ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ หรือโฆษณาของเรามากน้อยแค่ไหน ครับ เช่น ยอดไลก์ ยอดคอมเมนต์ ยอดแชร์ ยอดคลิกต่างๆ ครับ
- สิ่งที่ต้องดู:
- ยอดไลก์ คอมเมนต์ แชร์: สัญญาณว่าคอนเทนต์ของเราน่าสนใจ
- ยอดคลิก (Click-Through Rate – CTR): อัตราส่วนของคนที่คลิกต่อจำนวนครั้งที่เห็นโพสต์ หรือโฆษณา
- เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์ หรือเพจ: ลูกค้าใช้เวลาอยู่กับคอนเทนต์ของเรานานแค่ไหน
- นำไปใช้ประโยชน์: ถ้า Engagement Rate ต่ำ แสดงว่าคอนเทนต์ของเรายังไม่โดนใจกลุ่มเป้าหมาย อาจจะต้องปรับเนื้อหา รูปภาพ หรือวิดีโอให้มีความน่าสนใจมากขึ้นครับ ลองเปลี่ยนจากรูปภาพเป็นวิดีโอ หรือลองทำคำถามให้คนมาคอมเมนต์ดูนะครับ
- สิ่งที่ต้องดู:
5. อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า (Conversion Rate)
Conversion Rate คือ สัดส่วนของคนที่เข้ามาในช่องทางของเรา แล้วตัดสินใจทำตามที่เราต้องการ ครับ เช่น คลิกเข้ามาในเว็บไซต์ แล้วสั่งซื้อสินค้า หรือกรอกฟอร์มเพื่อสอบถามข้อมูลครับ
- สิ่งที่ต้องดู:
- จำนวนผู้เข้าชม: คนที่เข้ามาดูเพจ หรือ เว็บไซต์ของเรา
- จำนวนคนที่ทำตามเป้าหมาย (Conversion): คนที่สั่งซื้อสินค้า หรือทักแชท
- นำไปใช้ประโยชน์: ถ้า Conversion Rate ต่ำ อาจจะเป็นเพราะว่าลูกค้าหาสินค้าไม่เจอ ขั้นตอนการสั่งซื้อยุ่งยาก หรือ ข้อมูลสินค้าไม่ชัดเจนครับ เราอาจจะต้องปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ หรือ ปรับปรุงขั้นตอนการสั่งซื้อให้ง่ายขึ้นครับ
- สิ่งที่ต้องดู:
จะนำผลที่ได้ไปใช้งานได้จริงยังไง?
พอเราได้ตัวเลขเหล่านี้มาแล้ว อย่าเพิ่งเก็บใส่ลิ้นชักนะครับ! สิ่งสำคัญคือ การนำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์ และปรับปรุงครับ
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน: ก่อนจะเริ่มทำอะไร ให้กำหนดเป้าหมายก่อนเลยครับว่า อยากให้ยอดขายเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ หรือ อยากลด CAC ลงเท่าไหร่
- เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย: ลองหาข้อมูลค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม หรือ เปรียบเทียบกับคู่แข่งดูครับว่าตัวเลขของเราดีกว่า หรือ แย่กว่า
- ทดลอง และปรับเปลี่ยน (Test & Learn): การตลาดออนไลน์เป็นการทดลองอย่างต่อเนื่องครับ ลองเปลี่ยนรูป เปลี่ยนข้อความ เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย แล้วดูว่าตัวเลขเป็นยังไง ถ้าดีขึ้นก็ทำต่อไป ถ้าแย่ลงก็เปลี่ยนใหม่ครับ
ใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์: แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook Business Suite, Google Analytics มีเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ละเอียดมาก ลองเข้าไปศึกษา และใช้งานดูนะครับ จะช่วยให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับ
การวัดผลการตลาดออนไลน์เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้แม่ค้าออนไลน์อย่างเราเติบโตได้อย่างยั่งยืนครับ การรู้แค่ยอดขายอย่างเดียวอาจจะไม่พอ เราต้องรู้ลึกถึงทุกขั้นตอนของการตลาด เพื่อที่จะได้ปรับปรุง และพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับแม่ค้าออนไลน์ทุกท่านนะครับ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กับการตลาดของตัวเองดูนะครับ แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าพอใจแน่นอนครับ! มีคำถาม หรือ อยากแชร์ประสบการณ์เรื่องการวัดผลการตลาดออนไลน์ คอมเมนต์บอกกันได้เลยนะครับ!
แต่ถ้าหากอยากฟีเจอร์ระบบหลังบ้านกว่า 100 ฟีเจอร์ ที่สามารถช่วยในการขายของออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีบริการขนส่งในราคาพิเศษ ถูกกว่าไปส่งเองที่หน้าร้าน และยังสามารถเรียกรถเข้ารับฟรีได้ถึงหน้าบ้าน ต้องมาใช้งานระบบ iShip แถมระบบยังใช้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน! สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line: @iShip หรือ เพจ Facebook IShip ระบบจัดการรวมขนส่งออนไลน์ ได้ทุกวันตั้งแต่ 08.00 – 22.00 น. ครับผม