แนวทางการทำการตลาดยุคใหม่ที่นักขายออนไลน์ไม่ควรมองข้าม
E-commerce SEO
เทคนิคที่ทำให้ลูกค้ามองเห็นธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
ในยุคดิจิทัลที่การค้าออนไลน์เฟื่องฟู ธุรกิจอีคอมเมิร์ซต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในทุกๆ วัน ดังนั้น การทำ SEO (Search Engine Optimization) จึงเป็นอีกทางเลือกที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซสามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับบนหน้าแรกของ Google สามารถดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น ช่วยเพิ่มยอดขายได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเพิ่มเติม บทความนี้ จะแนะนำเทคนิคการทำการตลาดด้วย E-commerce SEO ที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้มากขึ้น
1. On-Page SEO มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะกับการค้นหา
- การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด: สามารถใช้เครื่องมือที่สามารถช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดได้ฟรี เช่น Google Keyword Planner โดยให้เราเลือกคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ ปริมาณการค้นหาสูง และการแข่งขันต่ำมากที่สุด หรืออาจใช้คีย์เวิร์ดแบบ Long-Tail Keyword ที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งมีการแข่งขันที่น้อยกว่าคีย์เวิร์ดแบบทั่วไป ส่งผลมีโอกาสติดอันดับสูงกว่านั้นเอง
- การใส่คีย์เวิร์ด: ใส่คีย์เวิร์ดกระจายลงไปในหลากหลายตำแหน่ง เช่น ชื่อสินค้า คำอธิบายสินค้า แท็กสินค้า รวมไปถึงหัวข้อ URL และเนื้อหาเว็บไซต์ แต่อย่าลืมว่าต้องใส่คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มากเกินไปและไม่ยัดเยียดผู้อ่านจนเกินไปครับ
- การเขียนเนื้อหา: เน้นการเขียนเนื้อหาที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด มีความยาวประมาณ 300-500 คำ และหากต้องการให้เนื้อหามีความ SEO-friendly ให้ใช้คีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพและมีปริมาณที่เหมาะสม และไม่ลืมที่จะเขียนเนื้อหาให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจง่ายด้วยครับ
- การสร้าง Meta Description: เขียน Meta Description ให้มีความดึงดูดความสนใจ กระชับ และบอกเล่าเนื้อหาของหน้าเว็บได้ชัดเจน และควรมีความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร
- การเพิ่มรูปภาพ: ใช้รูปภาพสินค้าที่มีคุณภาพ ความละเอียดสูง และแสดงสินค้าได้ชัดเจน และอย่าลืมใส่ Alt Text และ Title Tag ของรูปภาพโดยใช้คีย์เวิร์ดที่เรากำหนดไว้ด้วยครับ
- การสร้าง Site Structure: โครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี ใช้งานง่าย จะช่วยให้ผู้ใช้และ Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายมากขึ้นครับ
โครงสร้างเว็บไซต์ควรมีการวางลำดับขั้นที่ไม่ซับซ้อน สามารถใช้ Breadcrumb Navigation ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจตำแหน่งหน้าเว็บในโครงสร้างเว็บไซต์ได้เช่นกันครับ - การเพิ่มความเร็วเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่สามารถโหลดได้เร็ว จะช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดี และส่งผลดีต่อ SEO ด้วยเช่นกันครับ สามารถใช้เครื่องมือ Google PageSpeed Insights ช่วยวิเคราะห์ความเร็วและปรับแต่งเว็บไซต์ให้โหลดเร็วมากขึ้น
- การใช้ Mobile-Friendly: เว็บไซต์ที่ดีควรใช้งานบนมือถือได้สะดวกเหมือนเปิดจากคอมพิวเตอร์ สามารถตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณเป็น Mobile-Friendly หรือไม่ผ่าน Google Mobile-Friendly Test ได้ครับ และควรปรับแต่งเว็บไซต์ให้ Responsive รองรับการใช้งานบนมือถือตั้งแต่เริ่มการสร้างเว็บไซต์
2. Off-Page SEO มุ่งเน้นไปที่การสร้าง Backlinks หรือลิงก์จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ
- การสร้าง Backlinks: สามารถทำได้โดยการเขียนบทความ Guest Blog หรือสร้าง Infographic บนเว็บไซต์อื่นที่ไม่ใช่เว็บไซต์ของเราและใส่ Backlinks มายังกลับมายังเว็บไซต์ของคุณ ควรเขียนบทความให้เนื้อหาน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาเว็บไซต์นั้นๆ
และที่สำคัญที่สุด คือ การเลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และเกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณโดยตรง และสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ การใส่ Backlinks อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่ยัดเยียดจนเกินไปครับ - การใช้ Social Media: แชร์เนื้อหาของคุณบน Social Media ต่างๆ โดยเน้นการโต้ตอบกับผู้ใช้งานอื่นๆ ด้วยการตอบคำถาม และสร้างความสัมพันธ์ เช่น Facebook Instagram TikTok และ X สามารถใช้การติด Hashtags เพื่อเพิ่มการเข้าถึงอีกทางหนึ่ง
- การทำ Influencer Marketing: ร่วมมือกับ Influencer ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก มีความน่าเชื่อถือ และเกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ
ในการโปรโมทสินค้าและเว็บไซต์ของคุณ - การสร้าง Local SEO: เพิ่มข้อมูลธุรกิจของคุณบน Google My Business เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เว็บไซต์ เวลาทำการ รวมไปถึงรูปภาพของสินค้า อีกทั้งยังสามารถทำโปรโมชั่นบน Google My Business โดยให้ลูกค้ามาให้ดาวและรีวิวสินค้าของเรา
การทำการตลาดด้วย E-commerce SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอดทนค่อนข้างสูง เพราะกว่าจะประสบผลสำเร็จได้ต้องอาศัยการเสิร์ชข้อมูลผ่านทาง Google และกว่าจะอยู่ในอันดับต้นๆ ได้ต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน แต่ผลลัพธ์ที่ได้เรียกได้ว่า คุ้มค่าและมีความยั่งยืนมากกว่าการทำการตลาดในประเภทอื่นๆ เลยก็ว่าได้ครับ และถ้าหากใครอยากใช้เครื่องมืออื่นๆ ที่สามารถช่วยให้การขายของออนไลน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถเข้ามาใช้งานระบบหลังบ้านของ iShip กันได้เลยครับ เพราะมีฟีเจอร์ให้ใช้งานมากมายกว่า 100 ฟีเจอร์ และที่สำคัญ คือ สามารถใช้งานได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นครับ