ธุรกิจเราไปต่อได้ไหมนะ? บอกต่อเทคนิคการประเมินสินค้า และธุรกิจของคุณใน 5 นาที

เคยไหมครับ ที่รู้สึกว่าธุรกิจที่ทำอยู่มันไปต่อได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ยอดขายไม่ดีเหมือนก่อน หรือแม้กระทั่งรู้สึกหมดไฟที่จะทำต่อ…

หลายคนอาจจะกำลังเจอกับสถานการณ์นี้อยู่ครับ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้ผมจะพาคุณไปหาคำตอบว่า “ธุรกิจเราไปต่อได้ไหมนะ?” ด้วยเทคนิคการประเมินสินค้า และธุรกิจของคุณใน 5 นาที ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ได้จริง และไม่ซับซ้อนครับ

ทำไมต้องประเมินสินค้า และธุรกิจ?

สำหรับคนขายของออนไลน์ การประเมินสินค้า และธุรกิจอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญมากครับ เพราะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การรู้ว่าสินค้าไหนยังไปได้ หรือสินค้าไหนควรปรับปรุง จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างถูกจุด และไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่คุ้มค่าครับ

เทคนิค 5 นาที ประเมินสินค้า และธุรกิจของคุณ

มาดูกันทีละขั้นตอนเลยครับว่ามีอะไรบ้าง

1. ยอดขาย และความถี่ในการซื้อ

ลองดูที่ตัวเลขยอดขายในแต่ละเดือนครับว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หรือลดลง ถ้าสินค้าตัวไหนมียอดขายตกต่ำต่อเนื่อง หรือลูกค้าซื้อแค่ครั้งเดียวแล้วหายไป อาจเป็นสัญญาณว่าสินค้าตัวนั้นกำลังมีปัญหาครับ

การดูยอดขาย และความถี่ในการซื้อสินค้าเป็นตัวชี้วัดที่ตรงไปตรงมาที่สุดครับ หากยอดขายของสินค้าชิ้นใดลดลงอย่างต่อเนื่อง หรือลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อแค่ครั้งเดียวแล้วไม่กลับมาซื้อซ้ำ นั่นอาจหมายความว่าสินค้าตัวนั้นอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในระยะยาวครับ หรืออาจมีคู่แข่งที่ดีกว่าเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไป ดังนั้นการประเมินสินค้า และธุรกิจจากข้อมูลนี้ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนเพิ่ม หรือหยุดขายสินค้านั้นไปครับ

ตัวอย่าง: ถ้าคุณขายของออนไลน์ประเภทเสื้อผ้า และพบว่าเสื้อยืดสีขาวขายดีมาก แต่เสื้อเชิ้ตลายดอกขายไม่ค่อยออก และลูกค้าก็ไม่กลับมาซื้อซ้ำ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณควรโฟกัสที่เสื้อยืดสีขาวมากกว่าครับ

2. กำไรต่อชิ้น (Margin)

การประเมินสินค้า และธุรกิจต้องดูเรื่องกำไรเป็นหลักครับ ลองคำนวณดูว่าสินค้าแต่ละชิ้นทำกำไรให้คุณเท่าไร ถ้าขายแล้วได้กำไรน้อยมาก หรือแทบไม่เหลือกำไรเลย แม้จะขายดีแค่ไหน ก็ถือว่าไม่คุ้มครับ

การขายของออนไลน์ไม่ใช่แค่ขายได้เยอะแล้วจะรวยครับ กำไรคือหัวใจสำคัญของธุรกิจ ลองคำนวณต้นทุนทั้งหมดของสินค้าแต่ละชิ้น (เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าส่ง ค่าแพ็กเกจจิ้ง) แล้วนำมาหักจากราคาขาย ถ้ากำไรต่อชิ้นเหลือน้อยมาก หรือแทบไม่เหลือเลย นั่นหมายความว่าธุรกิจของคุณมีความเสี่ยงสูงมากครับ เพราะหากมีต้นทุนอื่นๆ เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย หรือราคาขายลดลง คุณอาจจะขาดทุนทันที การประเมินสินค้า และธุรกิจโดยเน้นที่กำไรจะช่วยให้คุณบริหารจัดการราคา และต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ตัวอย่าง: ถ้าคุณขายขนมโฮมเมด และพบว่าต้นทุนวัตถุดิบสูงมากจนกำไรต่อชิ้นเหลือแค่ไม่กี่บาท อาจต้องลองหาทางลดต้นทุน หรือเพิ่มราคาเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดได้ครับ

3. ผลตอบรับจากลูกค้า

ในฐานะคนขายของออนไลน์ เสียงของลูกค้าคือสิ่งสำคัญที่สุดครับ ลองเข้าไปดูรีวิว หรือคอมเมนต์จากลูกค้าว่าสินค้าของคุณมีปัญหาอะไรไหม หรือลูกค้าต้องการอะไรเพิ่มเติมรึเปล่า

ฟีดแบ็กจากลูกค้าเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีค่ามากครับ ไม่ว่าจะเป็นคำชม หรือคำติ มันคือโอกาสในการประเมินสินค้า และธุรกิจเพื่อพัฒนาตัวเอง หากมีลูกค้าบ่นเรื่องคุณภาพสินค้า หรือมีคำแนะนำที่สอดคล้องกันหลายคน นั่นคือสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณต้องปรับปรุงแล้วครับ การรับฟัง และนำไปแก้ไขจะช่วยให้คุณสร้างความน่าเชื่อถือ และรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ในระยะยาวครับ

ตัวอย่าง: ถ้าลูกค้าคอมเมนต์ว่า “สินค้าดีมาก แต่แพ็กมาไม่ค่อยดี” แสดงว่าสินค้าคุณดีอยู่แล้ว แต่ต้องปรับปรุงเรื่องการแพ็กของ หรือถ้ามีคนบ่นเรื่องคุณภาพสินค้าเยอะ อาจถึงเวลาต้องหาซัพพลายเออร์ใหม่แล้วครับ

4. การทำโปรโมชัน และการตลาด

สินค้าของคุณต้องพึ่งพาโปรโมชันหนักแค่ไหนในการขาย? ถ้าต้องจัดโปรโมชันลดราคาบ่อยๆ หรือลงทุนกับการยิงแอดสูงมากเพื่อให้ขายได้ นั่นอาจหมายความว่าสินค้าของคุณไม่ได้แข็งแกร่งพอในตัวเองครับ

การใช้โปรโมชันบ่อยๆ หรือลงทุนด้านการตลาดสูงมากเพื่อกระตุ้นยอดขาย อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปครับ เพราะนั่นอาจบ่งบอกว่าสินค้าของคุณไม่ได้มีคุณค่าในตัวเองมากพอที่จะดึงดูดลูกค้าให้ซื้อได้ด้วยราคาปกติ ดังนั้นการประเมินสินค้า และธุรกิจในมุมนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นว่าควรปรับปรุงสินค้าให้มีจุดเด่นมากขึ้น หรือควรหาวิธีการตลาดที่ยั่งยืนกว่านี้แทนการใช้โปรโมชันครับ

ตัวอย่าง: ถ้าสินค้าของคุณขายได้ดีตอนมีโปรโมชันเท่านั้น แต่พอไม่มีโปรโมชันยอดขายก็ตกฮวบ แสดงว่าต้องกลับมาประเมินสินค้า และธุรกิจของคุณอีกครั้งแล้วครับ

5. คู่แข่งในตลาด

ลองสำรวจดูว่าคู่แข่งของคุณมีสินค้าอะไรใหม่ๆ หรือมีอะไรที่เหนือกว่าคุณบ้าง การเปรียบเทียบจะช่วยให้คุณมองเห็นจุดอ่อนของตัวเอง และนำมาปรับปรุงได้ครับ

ในโลกของคนขายของออนไลน์ การแข่งขันเป็นเรื่องปกติครับ การประเมินสินค้า และธุรกิจด้วยการเปรียบเทียบกับคู่แข่งจะทำให้คุณเห็นภาพรวมของตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา คุณภาพ การบริการ หรือการตลาด การรู้จุดแข็งของคู่แข่งจะช่วยให้คุณหาทางสร้างความแตกต่าง และเติมเต็มช่องว่างที่ขาดไปของธุรกิจตัวเองได้ครับ

ตัวอย่าง: ถ้าคู่แข่งของคุณขายของออนไลน์ประเภทเดียวกัน แต่มีดีไซน์ที่หลากหลายกว่า หรือมีโปรโมชันที่น่าสนใจกว่า คุณอาจต้องกลับมาประเมินสินค้า และธุรกิจของตัวเองใหม่ และคิดหาจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งครับ

การประเมินสินค้า และธุรกิจไม่ใช่เรื่องน่ากลัวครับ แต่เป็นเหมือนการตรวจสุขภาพธุรกิจของคุณให้แข็งแรงอยู่เสมอ ลองใช้เวลา 5 นาทีกับเทคนิคเหล่านี้ แล้วคุณจะรู้ว่าควรเดินหน้าต่อ หรือปรับปรุงในทิศทางไหนเพื่อให้ธุรกิจขายของออนไลน์ของคุณไปได้ไกลกว่าเดิมครับ

ถ้าลองประเมินแล้วพบว่าสินค้าตัวไหนไม่เวิร์กจริงๆ ก็ไม่ต้องเสียดายที่จะหยุดมันไว้ครับ เพราะการโฟกัสกับสิ่งที่ใช่ และไปต่อกับมัน จะช่วยให้คุณมีเวลา และพลังงานไปสร้างธุรกิจที่มั่นคง และเติบโตอย่างยั่งยืนได้แน่นอนครับ ขอให้สนุกกับการขายของออนไลน์นะครับ!

แต่ถ้าหากอยากฟีเจอร์ระบบหลังบ้านกว่า 100 ฟีเจอร์ ที่สามารถช่วยในการขายของออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีบริการขนส่งในราคาพิเศษ ถูกกว่าไปส่งเองที่หน้าร้าน และยังสามารถเรียกรถเข้ารับฟรีได้ถึงหน้าบ้าน ต้องมาใช้งานระบบ iShip แถมระบบยังใช้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน! สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line: @iShip หรือเพจ Facebook IShip ระบบจัดการรวมขนส่งออนไลน์ ได้ทุกวันตั้งแต่ 08.00 – 22.00 น. ครับผม

SHARE